"ดอนผีบิน" เป็นคำที่ไม่คุ้นหูสำหรับคนที่ได้ยิน แต่สำหรับผมแล้ว ดอนผีบิน คือวงดนตรีวงหนึ่ง ที่ผมยกให้เป็นศิลปินที่ผมชื่นชอบที่สุดตลอดกาล และคิดว่าคงจะหาใครมาล้มตำแหน่งนี้ไม่ได้แล้ว ทำไมต้องชื่อวงว่า ดอนผีบิน บอกก่อนคร่าวๆ ดอนผีบิน เป็นชื่อ มาจากชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน แต่ก่อนกาล บริเวณที่ราบสูงแห่ง นั้นเคยเป็นสมรภูมิรบล้างเผ่าพันธ์สมัยล้านนาหลายร้อยปีก่อน จากอดีตสู่ปัจจุบันดินแดนนี้ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานของชาวบ้าน ปากต่อปากว่าในคืนวันเพ็ญจะมีแสงวนเวียนลอยร่อง บริเวณนั้นบางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องครวญคราง เรื่องราวนี้ก็ระบือรือไกลว่าเป็น ดินแดนแห่ง "ดอนผีร่องลอย"
3 คนพี่น้องจากตระกูล "แก้วทิตย์" ได้แก่ สมบัติ แก้วทิตย์ พี่ชายคนโต สมศักดิ์ แก้วทิตย์ พี่ชายคนรอง และสมคิด แก้วทิตย์ คนสุดท้อง กับอิทธิพลทางดนตรีที่รับมาร่วมกันบวกกับกระแสดนตรี Thrash Metal ที่พัดรุนแรงในวงการเพลงร็อค การรวมตัวทำเพลงจนมีอัลบั้มแรกออกมาในปี 2535
ในอัลบั้มที่ชื่อว่า "โลกมืด" กับเปิดอัลบั้มและเป็นเพลงที่เป็นตำนานไปแล้วของวง นั่นก็คือ "ต่างคน" "กาลครั้งโน้น ชีวิตได้ลงมาจุติยังโลก แต่แล้วเมื่อมีเผ่าพันธุ์ กลับไม่สวย ดั่งที่หมาย เมื่อมีชีวิตเติบใหญ่ ต้องผจญอยู่ใน โลกมืด ดินแดนแห่งทุกดวงวิญญาน จำพานพบมากมายสรรพสิ่ง และพาก้าวสู่ ..." นิยามของอัลบั้มโลกมืด โดยผลงานโดยรวมยังมีความเป็น Heavy Metal อยู่พอสมควร 2 ปี ต่อมา อัลบั้ม "เส้นทางสายมรณะ" ก็ป้อนออกสู่วงการเพลงร็อคอีกครั้ง ก้าวอีก 1 ก้าวของวงดอนผีบิน กับนิยามของอัลบั้มนี้ "สายทางแห่งสังคมที่สมมุติกำหนดขึ้น หากวิญญาณใด ไม่แข็งแกร่ง ก็จะถูกทำลาย" "อัลบั้มชุดนี้ ได้รับรางวัล Reader Ellection จากนิตยสาร The Quiet Storm สาขา "The Most Wildness Album และ All Time Aggressive Album" อัลบั้มชุดนี้ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสีสันอวอร์ดส ปี 2537 4 สาขาด้วยกัน คือ
- ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม
- อัลบั้มยอดเยี่ยม
- โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยม
- เพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยม"
ในปีเดียวกัน อัลบั้มชุดที่ 3 ก็ถูกป้อนออกมา "อุบาทว์ - อุบัติ" ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนความละเอียดในทางดนตรีและเนื้อหารวมไปถึงอาร์ทเวิร์ค อีกทั้งการออกอัลบั้มออกมาเร็วเกินไป ทำให้อัลบั้มนี้ถูกพูดถึงน้อยลงไป แต่เพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มกลับเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ เพลงนึง ด้วยอินโทรที่สวยงาม สำเนียงกีตาร์อันหวานปนเศร้า มันกระแทกเข้ามาในจิตใจที่โหยหวนความรู้สึกในวัยเด็ก ก่อนที่กระโจนทะยานไปสู่ดนตรีเมทั่ลที่หนักหน่วง แฝงไว้ด้วยสำเนียงดอนผีบิน อีกหนึ่งผลงานที่ก้าวกระโดด กับการที่ได้มาอยู่กับสังกัดใหญ่ๆ อย่าง Waner Music อัลบั้มที่ 4 ของวง ที่มีชื่อว่า "สองฟากฝั่ง" ในปี 2540 มีความแตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านมา ภาพรวมของอัลบั้มนี้มีความล่องลอย เคว้งคว้าง หลอกหลอน ลึกซึ้ง มีกลิ่นอายของไซโคเดลิค อยู่พอสมควร
Return To The Nature II (Inst.) กับรางวัลเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม สีสันอวอร์ด ปี พ.ศ.2541 เป็นสิ่งที่การันตีความเป็นดอนผีบินได้อย่างดี
http://www.youtube.com/watch?v=Os9pH_c7EjA
มาถึงผลงานลำดับที่ 5 "สัญญาณเยือน" ความล่องลอยแบบโปรเกรสีพ คือนิยามในอัลบั้มนี้ ทำไมต้องโปรเกรสสีฟ ล่องลอย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5 อัลบั้ม บวกกับเนื้อหาที่ออกไปทางปรัชญาชีวิต นามธรรมชัดเจน ทำให้ผลงานยุคหลังๆ มีแนวโน้มไปทางนี้ซะเยอะ "ปรากฏการณ์ ปรากฏกาย" ผลงานอัลบั้มที่ 6 ซึ่งออกกับทาง Giraffe Record แต่ก็ไม่ได้มีความเป็นตลาดมากนัก ผลงานยังแยบยลตามสไตล์ดอนผีบินอย่างชัดเจน แต่อัลบั้มนี้หนักออกไปทางเพลงช้าๆ ซะเยอะ เนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ส่วนตัวผมเลยชอบปกอัลบั้มนี้มาก ดูแล้วเหมือนออกไปนอกโลก อยู่ในอวกาศที่เคว้งคว้าง หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ มันมีความหมายที่ดี
นอกจากอัลบั้มเต็ม ดอนผีบิน ยังมีอัลบั้มอื่นๆ รวเพลงและคอนเสิร์ตออกมาอีกด้วย ปัจจุบันหาเก็บค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่ จะเก็บของสะสมของสาวกไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดอนผีบินแตกต่างจากวงร็อค เมทั่ลวงอื่นๆ คือความเป็นธรรมชาติ การทำเพลงที่มาจากจิตใต้สำนึก ซึ่งส่งผลออกมาให้เห็นจากปกอัลบั้ม รวมไปถึง วิธีชีวิตของสมาชิกในวง จนกลายเป็นเอกลักษณ์และสเน่ห์ที่ทำให้แฟนๆ นั้นหลงไหล
ตลอดมา ตั้งแต่ฟังผลงานของดอนผีบิน ผมคิดว่าดอนผีบินคือศิลปินเบอร์หนึ่งของผม เพราะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าอายุอนามของวงและผลงานในยุคหลังๆ น้อยลงไป แต่สิ่งที่ดอนผีบินคงเหลือทิ้งไว้ และจะเป็นตำนานตลอดไป คือผลงานและแนวคิดต่างๆ ที่มีค่าต่อวงการเพลงร็อคอย่างมาก ศิลปิน ที่ สร้างผลงานเพลงในทางศิลปะจากจิตใจ ให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้เสพผลงาน มันเป็นอะไรที่มีค่ามาก จะจดจำชื่อของวงๆ นี้ตลอดไป "ดอนผีบิน"
- ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม
- อัลบั้มยอดเยี่ยม
- โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยม
- เพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยม"
ในปีเดียวกัน อัลบั้มชุดที่ 3 ก็ถูกป้อนออกมา "อุบาทว์ - อุบัติ" ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนความละเอียดในทางดนตรีและเนื้อหารวมไปถึงอาร์ทเวิร์ค อีกทั้งการออกอัลบั้มออกมาเร็วเกินไป ทำให้อัลบั้มนี้ถูกพูดถึงน้อยลงไป แต่เพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มกลับเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ เพลงนึง ด้วยอินโทรที่สวยงาม สำเนียงกีตาร์อันหวานปนเศร้า มันกระแทกเข้ามาในจิตใจที่โหยหวนความรู้สึกในวัยเด็ก ก่อนที่กระโจนทะยานไปสู่ดนตรีเมทั่ลที่หนักหน่วง แฝงไว้ด้วยสำเนียงดอนผีบิน อีกหนึ่งผลงานที่ก้าวกระโดด กับการที่ได้มาอยู่กับสังกัดใหญ่ๆ อย่าง Waner Music อัลบั้มที่ 4 ของวง ที่มีชื่อว่า "สองฟากฝั่ง" ในปี 2540 มีความแตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านมา ภาพรวมของอัลบั้มนี้มีความล่องลอย เคว้งคว้าง หลอกหลอน ลึกซึ้ง มีกลิ่นอายของไซโคเดลิค อยู่พอสมควร
Return To The Nature II (Inst.) กับรางวัลเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม สีสันอวอร์ด ปี พ.ศ.2541 เป็นสิ่งที่การันตีความเป็นดอนผีบินได้อย่างดี
http://www.youtube.com/watch?v=Os9pH_c7EjA
มาถึงผลงานลำดับที่ 5 "สัญญาณเยือน" ความล่องลอยแบบโปรเกรสีพ คือนิยามในอัลบั้มนี้ ทำไมต้องโปรเกรสสีฟ ล่องลอย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5 อัลบั้ม บวกกับเนื้อหาที่ออกไปทางปรัชญาชีวิต นามธรรมชัดเจน ทำให้ผลงานยุคหลังๆ มีแนวโน้มไปทางนี้ซะเยอะ "ปรากฏการณ์ ปรากฏกาย" ผลงานอัลบั้มที่ 6 ซึ่งออกกับทาง Giraffe Record แต่ก็ไม่ได้มีความเป็นตลาดมากนัก ผลงานยังแยบยลตามสไตล์ดอนผีบินอย่างชัดเจน แต่อัลบั้มนี้หนักออกไปทางเพลงช้าๆ ซะเยอะ เนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ส่วนตัวผมเลยชอบปกอัลบั้มนี้มาก ดูแล้วเหมือนออกไปนอกโลก อยู่ในอวกาศที่เคว้งคว้าง หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ มันมีความหมายที่ดี
ตลอดมา ตั้งแต่ฟังผลงานของดอนผีบิน ผมคิดว่าดอนผีบินคือศิลปินเบอร์หนึ่งของผม เพราะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าอายุอนามของวงและผลงานในยุคหลังๆ น้อยลงไป แต่สิ่งที่ดอนผีบินคงเหลือทิ้งไว้ และจะเป็นตำนานตลอดไป คือผลงานและแนวคิดต่างๆ ที่มีค่าต่อวงการเพลงร็อคอย่างมาก ศิลปิน ที่ สร้างผลงานเพลงในทางศิลปะจากจิตใจ ให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้เสพผลงาน มันเป็นอะไรที่มีค่ามาก จะจดจำชื่อของวงๆ นี้ตลอดไป "ดอนผีบิน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น