ผ่านไปกับบทความกีตาร์ที่ชื่อนชอบ แต่ก็มีบทความอีกบทหนึ่ง ซึ่งขอหยิบเอาความชอบส่วนตัวมาเขียน นั่นก็คือ มือกลองที่ชื่นชอบ ส่วนตัวก็ชื่นชอบการตีกลองเหมือนกัน ทำให้มีมือกลองที่เป็นไอดอล หรือเป็นแรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย วันนี้จึงคัดเลือก 5 อันดับมือกลองที่ชื่นชอบ มานำเสนอกัน เริ่มกันเลย
อันดับที่ 5 Joey Jordison
มือกลองที่ไม่มีมือกลองคนไทยไม่รู้จัก ผลงานกับ slipknot ที่สิ่งที่ตอกย้ำให้ Joey Jodison เป็นมือกลองระดับแถวหน้าของโลก ฝีไม้ลายมือ ทักษะ ความสามารถ ไม่แพ้ใคร จุดเด่นของเค้าก็คือ ความหนักแน่นในการหวดกลอง ความรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีบุคลิกที่เท่อีกด้วย
อันดับที่ 4 Mike Portnoy
กับสมาชิกหนึ่งในวง Dream Theater วงแนว Progressive Metal แถวหน้าของโลก ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นวงแนว Progressive ที่มีรูปแบบการนำเสนอดนตรีที่ซับซ้อน เพิ่มคำว่า Metal ลงไปอีก จึงเป็นดนตรีที่มีความซับซ้อนและหนักแน่น Mike Portnoy คือมือกลองที่สร้างสรรค์ความซับซ้อนผ่านบทเพลง และเป็นที่ยอมรับจากมือกลองทั่วโลก ผลงานที่มีเทคนิคเหลือล้ำ ที่ฝึกซ้อมตลอดระยะเวลาหลายปี และประสบการณ์ทางดนตรีที่มีมากเหลือ ผลงานของ Mike Portnoy จึงเป็นสิ่งที่มือกลองชาวโลกยกย่องและยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดี
อันดับที่ 3 Mike Smith
มือกลองที่มีผลงานโดดเด่นกับวง Suffocation วงโคตร Death Metal มองผิวเผินบุคลิกเค้าเป็นเหมือนคนธรรมดา แต่ผลงานที่แสดงไว้กับ Suffocation คือความหนักหน่วง รุนแรง กับพลังมากมายมหาศาล
บวกกับเทคนิค ลูกเล่นกลองที่ Mike Smith ได้โชว์เอาไว้ จนได้รับเลือกให้มีส่วนร่วมในเพลงของอัลบั้ม Roadrunner United ทำให้เค้าเป็นไดดอลของผมไปโดยปริยาย
อันดับที่ 2 Chris Adler
ปฏิเสธไม่ได้เลยสำหรับฝีมือคนๆ นี้ ครบสูตรของวงการเพลงร็อค หนักแน่น สวยงาม เทคนิค ฝีมือ ความสามารถ เรียกได้ว่าขั้นเทพคนหนึ่ง แล้วยิ่งได้อยู่กับ Lamb of God ยิ่งทำให้ผลงานนั้่นโดดเด่นไปกันใหญ่ ผลงานที่ฝากไว้ในทุกๆ อัลบั้ม นั้นบอกเล่าตัวตนของ Chris Adler ได้อย่างดี
อันดับที่ 1 สมศักด์ แก้วทิตย์
น้องคนเล็กสุดในสามพี่น้องตระกูล แก้วทิตย์ สมาชิกสามพี่น้องแห่งวง "ดอนผีบิน" วงร็อคจากเมืองน่าน สิ่งที่ทำให้ผมชื่นชอบมากที่สุดคือสำเนียง สมศักดิ์ แก้วทิตย์ คือมือกลองที่ประยุกต์สำเนียงกลองแบบไทยๆ แต่เข้ากับแนวร็อค เมทั่ล โดยที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความสวยงาม ท่ามกลางความดุดัน ฝีมือทางดนตรีที่หลากหลาย ทำให้ผมยกให้ สมศักดิ์ แก้วทิตย์ คือมือกลองอันดับ 1 ของผมครับ
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
Top 5 My favorite Guitar
มาพูดถึงกีตาร์กันบ้างดีกว่า ในวงการเพลงร็อคเนี่ย กีตาร์เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย ถ้าพูดถึงกีตาร์แล้ว คนฟังเพลงมักจะมีนักกีตาร์ที่ชื่อชอบหรือมากกว่านั้น อาจจะมีกีตาร์ที่ชอบก็ได้ วันนี้เลยจะขอพูดถึงกีตาร์ที่ชื่นชอบโดยส่วนตัว 5 อันดับ ว่ากีตาร์ตัวไหนคือที่สุดในความชอบกันบ้าง
อันดับ 5 Ibanez Jem77
สเน่ห์ของ Ibanez คือการที่เป็นกีตาร์ที่ซาวดน์ชัด เคลียร์ โทนออกไปทางแหลมๆ พุ่งๆ ชอบที่สุดเวลาที่ใช้ Ibanez โซโล่ มากกว่าภาครึธึ่ม สำเนียงมัดบาดลึก สมกับลวดลายที่ออกแบบมา ทำใเห้เป็นที่นิยมของนักกีตาร์ทั่วโลก ถึงจะมีรารคาที่ค่อนข้างสูง และมักจะใช้เล่นไปในทางร็อคๆ ลวดลายที่อยู่บนกีตาร์รุ่นนี้แฝงไว้ด้วยความหมายนั่นก็คือความสวยงาม อ่อนไหว ในรูปทรงที่แฝงไปด้วยความดุดันเล็กๆ ยิ่งตัวนี้ด้วยแล้ว เสียงไม่แหลมเท่ารุ่นอื่นๆ ทำให้เกิดความพอดี
อันดับ 4 Gibson LPM 2015
อันดับ 5 Ibanez Jem77
สเน่ห์ของ Ibanez คือการที่เป็นกีตาร์ที่ซาวดน์ชัด เคลียร์ โทนออกไปทางแหลมๆ พุ่งๆ ชอบที่สุดเวลาที่ใช้ Ibanez โซโล่ มากกว่าภาครึธึ่ม สำเนียงมัดบาดลึก สมกับลวดลายที่ออกแบบมา ทำใเห้เป็นที่นิยมของนักกีตาร์ทั่วโลก ถึงจะมีรารคาที่ค่อนข้างสูง และมักจะใช้เล่นไปในทางร็อคๆ ลวดลายที่อยู่บนกีตาร์รุ่นนี้แฝงไว้ด้วยความหมายนั่นก็คือความสวยงาม อ่อนไหว ในรูปทรงที่แฝงไปด้วยความดุดันเล็กๆ ยิ่งตัวนี้ด้วยแล้ว เสียงไม่แหลมเท่ารุ่นอื่นๆ ทำให้เกิดความพอดี
อันดับ 4 Gibson LPM 2015
Gibson คือสุดยอดกีตาร์ของหลายๆ คน ชื่อชั้นนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะว่ามันสุดยอดอยู่แล้ว แต่สำหรับเจ้าตัว LPM 2015 กับทาง Les Paul ที่ได้รับความนิยม จุดเด่นของตัวนี้คือลวดลายที่มาบนตัวบอดี้ มันบ่งบอกถึงความเป็นร็อคที่ดุดัน เกรี้ยวกราด ซ่อนความเปรี้ยวไว้เล็กๆ จุดเด้นของ Les Paul คือสามารถเล่นเพลงร็อคได้ทุกยุคทุกสมัย ไม่เพียงแต่เล่นซาวดน์เก่าๆ ได้อย่างเดียว เสียงได้ได้จะออกมาเป็นเสียงสากๆ ในความสากๆ นั้น มีความนุ่มอย่างพอดี
อันดับ 3 ESP MKH-7
ESP จะค่อยพบเจอมากนักในหมู่นักดนตรี แต่ถ้าพูดถึงเสียงดิบๆ สากๆ ESP รุ่นนี้ ตอบสนองได้แน่นอน ยิ่งได้เป็น Signature ของ Mark Heylmun แห่ง SUICIDE SILENCE ด้วยแล้ว รับประกกัยความโหดของเจ้ากีตาร์ตัวนี้ได้เลย ด้วยเสียงที่หน้าเป็นพิเศษ ทำให้ถูกใจชาวร็อคเป็นจำนวนไม่น้อย รูปทรงที่ออกมาให้มีสีด้านๆ สีเดียว มีคอที่ใหญ่ แฝงด้วยรูปลายเท่ๆ ยิ่งทำให้ ESP MKH-7 มันน่าหลงไหลยิ่งนัก กีตาร์ตัวนี้ออกแบบมา 7 สาย นี่แหล่ะ ความหนัก ความหนาของเสียง มันเป็นยิ่งยั่วยุของหนักกีตาร์ทั้งหลาย
อันดับ 2 Jackson COREY BEAULIEU USA SIGNATURE KV7
สุดยอดดีไซน์กีตาร์ที่ออกแบบมาเอาใจชาวร็อคทั่วโลก กีตาร์ทรงแจ็คสัน King V ตัวแหลมยกขึ้น รูปทรงที่บาดใจทรงนี้ มาพร้อมกับเสียงที่โคตรเถื่อน กับกีตาร์ 7 สาย นอกจากความดิบ ความสากของเสียงแล้ว Jackson ก็มาพร้อมกับสำเนียงจี๊ดๆ กับเสียงโซโล่ที่บาดขั้วหัวใจมากๆ ดังนั้นกีตาร์สุดเจ๋งลำดับที่ 2 ต้องยกให้เจ้านี่เลย
อันดับ 1 B.C.Rich KERRY KING SIGNATURE WARLOCK 6
โคตรกีตาร์มันต้องเจ้านี่ เห็นแบบนี้มันไม่ได้ดุดันเหมือนรูปทรงซะทีเดียว มันคือความลงตัวของความดุดันที่พอดิบพอดี จังหวะโซโล่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มีความหวานปนดุ ไม่สูงไป ไม่ต่ำไป เจ้าตัวนี้เล่นได้หลากหลายแนว ด้วยดีไซด์ที่ใช้สีขาวที่วางลวดลายสวยงาม ลงตัวไปกับพื้นหลังสีดำ กีตาร์ตัวนี้มีความหนักอยู่พอสมควร ผมจึงยกให้เจ้าตัวนี้เป็นกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมในใจ
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
The Best of...KoRn
Korn เคยมีอัลบั้มรวมเพลงฮิตที่ออกมาในปี 2004 เพียงแต่อัลบั้มนั้นเป็นการคัดเลือกเพลงจากต้นสังกัดเองว่าเพลงไหนฮิตเพลงไหนดัง แต่ Best of Korn ในบทความนี้ จะเลือกแต่เพลงที่ผู้เขียนบทความนั้นชอบมาแนะนำให้ได้อ่านกัน กับวงเจ้าพ่อแนว Nu Metal ที่เคยโด่งดังสุดขีด และเป็นเทรนด์ดนตรีที่ได้รับความนิยมมากในยุค ปลายๆ 90 ตลอดเวลา Korn ได้สร้างกระแสดนตรี จนกลายเป็นวงแนวหน้าของโลก ถึงแม้ในปัจจุบันทางวงและแนวดนตรี Nu Metal จะโรยราไปตามยุคตามสมัย แต่เราจะขอกลับไปนึกถึงความรุ่งเรื่องในอดีตของวงนี้กัน

เริ่มรำลึกกันตั้งแต่อัลบั้มแรก ชื่ออัลบั้มชื่อเดียวกับวง ออกมาตั้งแต่ปี 1994 ที่คือ Korn
- Blind คือเพลงเปิดอัลบั้ม มีไม่กี่วงที่เปิดตัวเพลงแรกของวงในอัลบั้มแรก และเพลงนั้นจะเป็นเพลงระดับตำนานของวงได้ Korn คือ 1 ในวงนั้น Blind คือเพลงเริ่มต้นด้วยการตีแฉ สลับกับริฟฟ์กีตาร์และการเดินไลน์เบส ก่อนจะเข้าสู่ท่อนดนตรีที่กระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง การกล่นกัดเสียงของ Jonathan David มันแสดงถึงอารมณ์เก็บกดอย่างชัดเจน
- Clown อินโทรเป็นเหมือนเสียงที่พูดกันในห้องอัด การสบถคำด่ากันสนุกสนาน ก่อนจะถล่มด้วยกลองและซาวดน์กีตาร์อันแสนต่ำ เพลงจังหวะช้า แต่โคตรหนักหน่วง เสียงร้องที่บอกถึงความเก็บกดได้อย่างเจ็บปวด
- Shoots and Ladders สเนห์อีกอย่างหนึ่งของ Korn คือการใช้ปีสก็อตเข้ามามีส่วนร่วม เช่นอินโทรเพลงนี้ บอกเลยว่าทำออกได้หลอนได้ใจ ก่อนจะสอดกลองแบบเข้าจังหวะแทรกเข้ามา ซาวดน์กีตาร์แบบล่องลอย ช่วงกลางเพลงมีท่อนโยกตามแบบอารมณ์หม่น เจ๋งสุดๆ
- Daddy เป็นเพลงที่โอดครวญมาก ขึ้นต้นมากับเสียงร้องอันโอครวญ สะอึกสะอื้นของ Jonathan ที่บอกเล่าความเจ็บปวดที่ถูกกระทำได้อย่างดี ดนตรีเพลงนี้ฟังแล้วอึดอัดนะ ต้องรู้สึกเก็บกดมากๆ ถึงจะฟังเพลงนี้แล้วจะรู้สึกปลอดปล่อย
อัลบั้มที่ 2 Life is Peachy คลอดออกมาในปี 1996 อัลบั้มนี้ถึงแม้ทั่วโลกจะบอกว่าฟังยากขึ้น ซึ่งจริงๆ เป็นการใส่ดนตรีให้ซับซ้อนกว่าเดิมมากกว่า แต่ก็มีเพลงเจ๋งๆ หลายเพลงอยู่เหมือนกัน
- Twist กับการกดเสียงบ่นโหยหวนปนแร๊พ ซึ่ง Jonathan ได้สร้างสไตล์การร้องแบบนี้ออกมา ถึงจะเป็นเพลงสั้นๆ แต่มันมีความมันอย่างสุดยอด
- Mr. Rogers อีกเพลงที่สะท้อนความเก็บกดได้อย่างดี เสียงร้องอันแผ่วเบาในช่วงต้น กับเสียงกลองที่กระแทกกระทั้น ก่อนจะหน่วงด้วยเสียงกีตาร์กดต่ำ เบสก็มีลูกเล่นการตบเล่นเป็นจังหวะ ความเจ๋งของการคำรามที่ดุดันและเก็บกด ผสมกับอารมณ์ล่องลอย เพลงนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยดัง แต่ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นเพลงที่สื่ออารมณ์ได้ดี
- A.D.I.D.A.S. All Day I Dream About Sex คือชื่อเต็มของเพลงนี้ กับเพลงสั้นที่มีจังหวะโยกๆ MV เพลงนี้ดูจิตๆ นิดนึง
อัลบั้มที่ 3 Follow The Leader คือสุดยอดอัลบั้มของ Korn ที่ทั่วโลกต่างยกย่องว่านี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของดนตรี Nu Metal ซึ่งออกมาในปี 1998
- Freak on a Leash ความยอดเยี่ยมของเพลง ดนตรี MV ทำให้เพลงนี้โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่เพลงที่หนักหน่วงตะบี้ตะบั้นใส่ดนตรี แต่เป็นเพลงที่เดินไปอย่างล่องลอย กับเสียงกีตาร์ เพลง เบส ที่เดินไปพร้อมกัน ไฮไลท์ของเพลงคือช่วงท้าย ที่ร้องได้เก็บกดสุดๆ
Issues คืออัลบั้มชุดที่ 4 ของวง ออกมาในปี 1999 หลังจากความสำเร็จของ Follow The Leader ด้วยความที่ออกอัลบั้มเร็วติดกันเกินไปทำให้อัลบั้มนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไร ทำให้อัลบั้มนี้ไม่มีเพลงที่ชอบเลย
อัลบั้มที่ 5 Untouchables ก็ยังไม่ได้แตกต่างจากอัลบั้มที่แล้วเท่าไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือ Korn พยายามทำเพลงให้กลับมาหนักหน่วงอีกครั้ง เหมือนกันว่าพยายามกลับไปหาอัลบั้มแรกอีกครั้ง โดยที่อัลบั้มนี้ออกมาในปี 2002
- Here to Stay กลับมาดุดันอีกครั้ง กลับดนตรีกระแทกกระทั้น ฟังง่าย แล้วก็มีท่อนกระแทกสไตล์นู
เมทั่ล
- Thoughtless ความล่องลอยแบบหนักหน่วง ผสมกับท่อนฮุคที่มีเมโลดี้ติดหู เพลงนี้จริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร แต่ฟังแล้วมันชวนโยกหัวเพลินๆ ได้
- Alone I Break เพลงนี้เข้าขั้นตำนาน เพลงที่ร้องได้โหยหวน กระแทกกระทั้งอารมณ์ได้เพลงหนึ่ง ชอบตรงที่กลองเพลงนี้กระแทกได้สะใจดี
อัลบั้มชุดที่ 6 Take A Look In The Mirror ถึงแม้จะกลับมาที่ดนตรีแนวนี้เข้าสู่ยุคเริ่มโรยรา แต่อัลบั้มนี้ที่ออกมาในปี 2003 กลับมาผงาดง้ำค้ำยันได้อีกระยะหนึ่ง กับผลตอบรับที่ดี ความเป็น Korn ที่หายไปนานอีกครั้ง
- Right Now ริฟฟ์กีตาร์อินโทรแบบบาดขั้วหัวใจ ท่องแหกปากที่ร้องได้สุดคอหอย ซาวดน์ดนตรีโหดๆ หนักๆ กลับมาอีกครั้ง
- Counting on Me อินโทรด้วยเสียงกีตาร์เบาๆ ก่อนจะอัดใส่ดนตรีหนักๆ ให้ได้โยกกันจนคอหลุด
- Did My Time การกระแทกริฟฟ์ในเพลงนี้มันบอกถึงความหายนะของเพลงได้อย่างแท้จริง เพลงนี้ฟังการร้องแบบล่องลอยผสมกับเสียงต่ำๆ มันชวนโยกได้อย่างดี
- Y'All Want a Single อีกหนึ่งเพลงที่ชวนโยกตั้งแต่ต้นเพลง MV ที่บ้าระห่ำ
หลังจากอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ติดตามผลงานของ Korn อย่างจริงจังอีก ด้วยความโรยราของวง กระแสดนตรีที่หายไป ทำให้ Korn กลายเป็นวงทั่วๆ ไป ไปซะแล้ว 6 อัลบั้มที่ผ่านมา คือช่วงเวลาที่พลิกกระแสประวัติศาสตร์ทางดนตรีร็อค คู่ควรแก่การกล่าวถึง ทำให้นึกถึงอารมณ์ร่วมของการฟังดนตรีในสมัยก่อนหน้านี้หลายปี Korn The Best of Nu Metal...

เริ่มรำลึกกันตั้งแต่อัลบั้มแรก ชื่ออัลบั้มชื่อเดียวกับวง ออกมาตั้งแต่ปี 1994 ที่คือ Korn
- Blind คือเพลงเปิดอัลบั้ม มีไม่กี่วงที่เปิดตัวเพลงแรกของวงในอัลบั้มแรก และเพลงนั้นจะเป็นเพลงระดับตำนานของวงได้ Korn คือ 1 ในวงนั้น Blind คือเพลงเริ่มต้นด้วยการตีแฉ สลับกับริฟฟ์กีตาร์และการเดินไลน์เบส ก่อนจะเข้าสู่ท่อนดนตรีที่กระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง การกล่นกัดเสียงของ Jonathan David มันแสดงถึงอารมณ์เก็บกดอย่างชัดเจน
- Clown อินโทรเป็นเหมือนเสียงที่พูดกันในห้องอัด การสบถคำด่ากันสนุกสนาน ก่อนจะถล่มด้วยกลองและซาวดน์กีตาร์อันแสนต่ำ เพลงจังหวะช้า แต่โคตรหนักหน่วง เสียงร้องที่บอกถึงความเก็บกดได้อย่างเจ็บปวด
- Shoots and Ladders สเนห์อีกอย่างหนึ่งของ Korn คือการใช้ปีสก็อตเข้ามามีส่วนร่วม เช่นอินโทรเพลงนี้ บอกเลยว่าทำออกได้หลอนได้ใจ ก่อนจะสอดกลองแบบเข้าจังหวะแทรกเข้ามา ซาวดน์กีตาร์แบบล่องลอย ช่วงกลางเพลงมีท่อนโยกตามแบบอารมณ์หม่น เจ๋งสุดๆ
- Daddy เป็นเพลงที่โอดครวญมาก ขึ้นต้นมากับเสียงร้องอันโอครวญ สะอึกสะอื้นของ Jonathan ที่บอกเล่าความเจ็บปวดที่ถูกกระทำได้อย่างดี ดนตรีเพลงนี้ฟังแล้วอึดอัดนะ ต้องรู้สึกเก็บกดมากๆ ถึงจะฟังเพลงนี้แล้วจะรู้สึกปลอดปล่อย
อัลบั้มที่ 2 Life is Peachy คลอดออกมาในปี 1996 อัลบั้มนี้ถึงแม้ทั่วโลกจะบอกว่าฟังยากขึ้น ซึ่งจริงๆ เป็นการใส่ดนตรีให้ซับซ้อนกว่าเดิมมากกว่า แต่ก็มีเพลงเจ๋งๆ หลายเพลงอยู่เหมือนกัน
- Twist กับการกดเสียงบ่นโหยหวนปนแร๊พ ซึ่ง Jonathan ได้สร้างสไตล์การร้องแบบนี้ออกมา ถึงจะเป็นเพลงสั้นๆ แต่มันมีความมันอย่างสุดยอด
- Mr. Rogers อีกเพลงที่สะท้อนความเก็บกดได้อย่างดี เสียงร้องอันแผ่วเบาในช่วงต้น กับเสียงกลองที่กระแทกกระทั้น ก่อนจะหน่วงด้วยเสียงกีตาร์กดต่ำ เบสก็มีลูกเล่นการตบเล่นเป็นจังหวะ ความเจ๋งของการคำรามที่ดุดันและเก็บกด ผสมกับอารมณ์ล่องลอย เพลงนี้ถึงแม้จะไม่ค่อยดัง แต่ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นเพลงที่สื่ออารมณ์ได้ดี
- A.D.I.D.A.S. All Day I Dream About Sex คือชื่อเต็มของเพลงนี้ กับเพลงสั้นที่มีจังหวะโยกๆ MV เพลงนี้ดูจิตๆ นิดนึง
อัลบั้มที่ 3 Follow The Leader คือสุดยอดอัลบั้มของ Korn ที่ทั่วโลกต่างยกย่องว่านี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของดนตรี Nu Metal ซึ่งออกมาในปี 1998
- Freak on a Leash ความยอดเยี่ยมของเพลง ดนตรี MV ทำให้เพลงนี้โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่เพลงที่หนักหน่วงตะบี้ตะบั้นใส่ดนตรี แต่เป็นเพลงที่เดินไปอย่างล่องลอย กับเสียงกีตาร์ เพลง เบส ที่เดินไปพร้อมกัน ไฮไลท์ของเพลงคือช่วงท้าย ที่ร้องได้เก็บกดสุดๆ
Issues คืออัลบั้มชุดที่ 4 ของวง ออกมาในปี 1999 หลังจากความสำเร็จของ Follow The Leader ด้วยความที่ออกอัลบั้มเร็วติดกันเกินไปทำให้อัลบั้มนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไร ทำให้อัลบั้มนี้ไม่มีเพลงที่ชอบเลย
อัลบั้มที่ 5 Untouchables ก็ยังไม่ได้แตกต่างจากอัลบั้มที่แล้วเท่าไร แต่ที่เห็นได้ชัดคือ Korn พยายามทำเพลงให้กลับมาหนักหน่วงอีกครั้ง เหมือนกันว่าพยายามกลับไปหาอัลบั้มแรกอีกครั้ง โดยที่อัลบั้มนี้ออกมาในปี 2002
- Here to Stay กลับมาดุดันอีกครั้ง กลับดนตรีกระแทกกระทั้น ฟังง่าย แล้วก็มีท่อนกระแทกสไตล์นู
เมทั่ล
- Thoughtless ความล่องลอยแบบหนักหน่วง ผสมกับท่อนฮุคที่มีเมโลดี้ติดหู เพลงนี้จริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร แต่ฟังแล้วมันชวนโยกหัวเพลินๆ ได้
- Alone I Break เพลงนี้เข้าขั้นตำนาน เพลงที่ร้องได้โหยหวน กระแทกกระทั้งอารมณ์ได้เพลงหนึ่ง ชอบตรงที่กลองเพลงนี้กระแทกได้สะใจดี
อัลบั้มชุดที่ 6 Take A Look In The Mirror ถึงแม้จะกลับมาที่ดนตรีแนวนี้เข้าสู่ยุคเริ่มโรยรา แต่อัลบั้มนี้ที่ออกมาในปี 2003 กลับมาผงาดง้ำค้ำยันได้อีกระยะหนึ่ง กับผลตอบรับที่ดี ความเป็น Korn ที่หายไปนานอีกครั้ง
- Right Now ริฟฟ์กีตาร์อินโทรแบบบาดขั้วหัวใจ ท่องแหกปากที่ร้องได้สุดคอหอย ซาวดน์ดนตรีโหดๆ หนักๆ กลับมาอีกครั้ง
- Counting on Me อินโทรด้วยเสียงกีตาร์เบาๆ ก่อนจะอัดใส่ดนตรีหนักๆ ให้ได้โยกกันจนคอหลุด
- Did My Time การกระแทกริฟฟ์ในเพลงนี้มันบอกถึงความหายนะของเพลงได้อย่างแท้จริง เพลงนี้ฟังการร้องแบบล่องลอยผสมกับเสียงต่ำๆ มันชวนโยกได้อย่างดี
- Y'All Want a Single อีกหนึ่งเพลงที่ชวนโยกตั้งแต่ต้นเพลง MV ที่บ้าระห่ำ
หลังจากอัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ติดตามผลงานของ Korn อย่างจริงจังอีก ด้วยความโรยราของวง กระแสดนตรีที่หายไป ทำให้ Korn กลายเป็นวงทั่วๆ ไป ไปซะแล้ว 6 อัลบั้มที่ผ่านมา คือช่วงเวลาที่พลิกกระแสประวัติศาสตร์ทางดนตรีร็อค คู่ควรแก่การกล่าวถึง ทำให้นึกถึงอารมณ์ร่วมของการฟังดนตรีในสมัยก่อนหน้านี้หลายปี Korn The Best of Nu Metal...
1917 อัลบั้ม Vision...review
1917 ใครจะไปรู้ว่าเป็นชื่อวงดนตรี มันเหมือนชื่อ ค.ศ. หรือช่วงเหตุการณ์อะไรซักอย่าง ตอนแรกที่รู้จักวงนี้ก็ตอนประมาณอายุ 16-14 ตอนนั้นยังอยู่ ม.4 หรือ ม.5 นี่แหล่ะ เพลงแรกที่เคยฟังคือเป็นไฟล์เพลงที่โหลดมาจาก Internet ตอนนั้นวงนี้บอกว่าเป็นวง Grind Core ก็ชอบเพลงเดียวตั้งแต่ฟังตอนนั้นมานั่นก็คือ La Vieja Sangre จนไม่นานมานี้ก็บังเอิญไปเจออัลบั้มเต็มของวง เป็นอัลบั้มที่มีเพลงที่เคยฟัง ณ ตอนนั้น เลยหยิบ อัลบั้ม Vision มารีวิวกัน วง 1917 เป็นวงจาก Buenos Aires
สเนห์ของวงนี้ก็คือการที่ีร้องเพลงเป็นภาษาถิ่น ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ประวัติของวงนั้นหาได้ค่อนข้างน้อย เพราะไม่ใช่วงเด่นดังอะไรมากมาย แต่เท่าที่ดูผลงานผ่านๆ มา ก็มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่เป็นวงท้องถิ่นด้วย และเล่นเพลงแนวไกรน์ คอร์ ด้วย ทำให้ความนิยมย่อมอยู่กันแค่เฉพาะกลุ่มเพียงแค่นั้น พูดถึงซาวดน์ของ 1917 ในอัลบั้ม Vision ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เป็นวงไกรน์ คอร์ที่ีซาวด์ดนตรีที่ีเคลียร์ ชัดเจน ปกติแล้ววงสไตล์นี้จะไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องซาวด์กันมากนัก แต่สำหรับวง 1917 นั้น ถือว่าทำดนตรีออกมาได้ชัดเจน แต่ไม่ถึงกับดี เคลียร์ อย่างวงระดับแถวหน้า สไตล์ดนตรีอัลบั้มนี้ชัดเจนเป็น Death ผสมไกรน์ สำเนียงการร้องแผดสูงสไตล์ Black Metal เพียงแต่ยังแหบและแห้งไม่พอ ปกอัลบั้ม Vision ไม่มีอะไรโดดเด่น โทนเขียว ถ้าใครไม่ทราบที่มีของวงหรือไม่เคยฟัง มองเผินๆ อาจจะมองว่าเป็นวง Black Metal เลยก็ไม่ผิด ถ้าเปลี่ยนปกจากสีเขียวเป็นแดง หรือโทนขาวดำ นี่ใช่เลย อัลบั้มนี้บรรจุทั้งหมด 8 เพลง
เพลงแรก In Tenebra เป็น Intro หลอนๆ หม่นๆ ผสมเสียงอิเล็คทรอนิกส์ลงไป ให้ดูวังเวงนิดๆ เป็นพื้นที่จะเข้าไปสู่เพลงที่สองอย่าง La Vieja Sangre เพลงนี้เสียงกีตาร์ชัดมาก แต่เพลงนี้แปลกๆ ตรงที่เริ่มต้นด้วยเสียงกดต่ำแบบเดธ กีตาร์กลิ่นอาย Black ผสม Thrash ที่ค่อนข้างเคลียร์ เป็นเพลงที่โยกหัวได้ไม่ยาก เบสและกลองปูพื้นทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี Piel de Martir, Carne de Asesino แทร็คที่สามที่ได้กลิ่นอายของเมโลดิก แบล็ก ฟังแล้วนึกถึง Dimmu Bogir หรืออย่าง Old Man's Child เป็นอีกหนึ่งเพลงที่โยกหัวได้เพลินๆ เพลงจังหวะกลางๆ จังหวะกลองมีลูกเล่นอย่างน่าสนใจ Mercader de Voluntades แทร็คที่ 4 ของอัลบั้ม เปิดเพลงมาดนตรีซัดกันอย่างนัว เป็นเพลงเร็วที่ฟังดูเหมือนจะรก พอลองฟังดีๆ แล้วกลับไม่ได้รกอย่างที่คิด ก่อนที่จะมีท่อนโซโล ให้ได้หายใจหายคอ ในแทร็คหลังๆ สไตล์การร้องจะเป็นใช้เสยงแผดสูงมากขึ้น ช่วงกลางเพลงผ่อนจังหวะ เล่นออกไปทาง Doom Metal ก่อนที่จะกลับมาซัดกันต่อ แทร็คที่ 5 Simbolos Muertos เพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็น Death Metal จริงๆ เกือบๆ จะ old school ยิ่งช่วง solo จะเห็นได้ชัดเลยว่าสำเนียง Death แตะจมูกชัดเจน Visiones แทร็คที่ 6 บ่งบอกว่าเพลงหลังๆ มีกลิ่นอายความเป็น Death Metal กลับมาเยอะขึ้น จากสำเนียงกลองและเบสที่หนักแน่น เพลงนี้เป็นเพลงบรรเลงทั้งเพลง ฟังแล้วแน่น แทร็คที่ 7 Realidad Desmembrada ฟังจากสำเนียงแล้วบ่งบอกถึงสำเนียงบ้านเกิดชัดเจน สำเนียงการร้องแบบนี้นึกถึงวง Ramstein ภาคเดธ การรองแบบกดต่ำเริ่มมีให้ฟังแทรกลงไปบ้าง Anidando entre Serpientes เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม อินโทรด้วยจังหวะช้าๆ ก่อนจะอัดกันด้วยดนตรีสไตล์ Black Thrash เป็นเพลงที่จังหวะเร็ว กลิ่นอายช่วงท่อนโยกแบบ old school ชัดเจนมาก
นี่ไม่ใช่ Death Metal เพียวๆ หรือ Grind Core แท้ๆ ที่ตามหา แต่ทะว่า นี่คืออัลบั้ม Death Metal ลูกผสม ที่มีกลิ่นอายหลากหลายในอัลบั้มหรือแม้แต่ในเพลงๆ นึงก็ตาม อัลบั้มนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2004 จุดเด่นของอัลบั้มนี้ผมยกให้กลองกับเบสที่ทำหน้าที่แบกรับภาระทั้งหมดได้ดี กีตาร์ค่อยข้างเคลียร์ ซาวดน์อาจจะแปลก เพราะกลองนั้นยังเป็นซาวนด์โทนเก่าๆ แต่การจูนซาวดน์กีตาร์นั้นออกไปยุคใหม่มากกว่า ทำให้ฟังดูไม่เข้ากันมากนัก แต่อัลบั้มนี้ฟังได้เพลินๆ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด กับ 1917 อัลบั้ม Vision ครับ
ฟังอัลบั้มเต็มได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=BPfHCiuMaK8
สเนห์ของวงนี้ก็คือการที่ีร้องเพลงเป็นภาษาถิ่น ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ประวัติของวงนั้นหาได้ค่อนข้างน้อย เพราะไม่ใช่วงเด่นดังอะไรมากมาย แต่เท่าที่ดูผลงานผ่านๆ มา ก็มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่เป็นวงท้องถิ่นด้วย และเล่นเพลงแนวไกรน์ คอร์ ด้วย ทำให้ความนิยมย่อมอยู่กันแค่เฉพาะกลุ่มเพียงแค่นั้น พูดถึงซาวดน์ของ 1917 ในอัลบั้ม Vision ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เป็นวงไกรน์ คอร์ที่ีซาวด์ดนตรีที่ีเคลียร์ ชัดเจน ปกติแล้ววงสไตล์นี้จะไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องซาวด์กันมากนัก แต่สำหรับวง 1917 นั้น ถือว่าทำดนตรีออกมาได้ชัดเจน แต่ไม่ถึงกับดี เคลียร์ อย่างวงระดับแถวหน้า สไตล์ดนตรีอัลบั้มนี้ชัดเจนเป็น Death ผสมไกรน์ สำเนียงการร้องแผดสูงสไตล์ Black Metal เพียงแต่ยังแหบและแห้งไม่พอ ปกอัลบั้ม Vision ไม่มีอะไรโดดเด่น โทนเขียว ถ้าใครไม่ทราบที่มีของวงหรือไม่เคยฟัง มองเผินๆ อาจจะมองว่าเป็นวง Black Metal เลยก็ไม่ผิด ถ้าเปลี่ยนปกจากสีเขียวเป็นแดง หรือโทนขาวดำ นี่ใช่เลย อัลบั้มนี้บรรจุทั้งหมด 8 เพลง
เพลงแรก In Tenebra เป็น Intro หลอนๆ หม่นๆ ผสมเสียงอิเล็คทรอนิกส์ลงไป ให้ดูวังเวงนิดๆ เป็นพื้นที่จะเข้าไปสู่เพลงที่สองอย่าง La Vieja Sangre เพลงนี้เสียงกีตาร์ชัดมาก แต่เพลงนี้แปลกๆ ตรงที่เริ่มต้นด้วยเสียงกดต่ำแบบเดธ กีตาร์กลิ่นอาย Black ผสม Thrash ที่ค่อนข้างเคลียร์ เป็นเพลงที่โยกหัวได้ไม่ยาก เบสและกลองปูพื้นทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี Piel de Martir, Carne de Asesino แทร็คที่สามที่ได้กลิ่นอายของเมโลดิก แบล็ก ฟังแล้วนึกถึง Dimmu Bogir หรืออย่าง Old Man's Child เป็นอีกหนึ่งเพลงที่โยกหัวได้เพลินๆ เพลงจังหวะกลางๆ จังหวะกลองมีลูกเล่นอย่างน่าสนใจ Mercader de Voluntades แทร็คที่ 4 ของอัลบั้ม เปิดเพลงมาดนตรีซัดกันอย่างนัว เป็นเพลงเร็วที่ฟังดูเหมือนจะรก พอลองฟังดีๆ แล้วกลับไม่ได้รกอย่างที่คิด ก่อนที่จะมีท่อนโซโล ให้ได้หายใจหายคอ ในแทร็คหลังๆ สไตล์การร้องจะเป็นใช้เสยงแผดสูงมากขึ้น ช่วงกลางเพลงผ่อนจังหวะ เล่นออกไปทาง Doom Metal ก่อนที่จะกลับมาซัดกันต่อ แทร็คที่ 5 Simbolos Muertos เพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็น Death Metal จริงๆ เกือบๆ จะ old school ยิ่งช่วง solo จะเห็นได้ชัดเลยว่าสำเนียง Death แตะจมูกชัดเจน Visiones แทร็คที่ 6 บ่งบอกว่าเพลงหลังๆ มีกลิ่นอายความเป็น Death Metal กลับมาเยอะขึ้น จากสำเนียงกลองและเบสที่หนักแน่น เพลงนี้เป็นเพลงบรรเลงทั้งเพลง ฟังแล้วแน่น แทร็คที่ 7 Realidad Desmembrada ฟังจากสำเนียงแล้วบ่งบอกถึงสำเนียงบ้านเกิดชัดเจน สำเนียงการร้องแบบนี้นึกถึงวง Ramstein ภาคเดธ การรองแบบกดต่ำเริ่มมีให้ฟังแทรกลงไปบ้าง Anidando entre Serpientes เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม อินโทรด้วยจังหวะช้าๆ ก่อนจะอัดกันด้วยดนตรีสไตล์ Black Thrash เป็นเพลงที่จังหวะเร็ว กลิ่นอายช่วงท่อนโยกแบบ old school ชัดเจนมาก
นี่ไม่ใช่ Death Metal เพียวๆ หรือ Grind Core แท้ๆ ที่ตามหา แต่ทะว่า นี่คืออัลบั้ม Death Metal ลูกผสม ที่มีกลิ่นอายหลากหลายในอัลบั้มหรือแม้แต่ในเพลงๆ นึงก็ตาม อัลบั้มนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2004 จุดเด่นของอัลบั้มนี้ผมยกให้กลองกับเบสที่ทำหน้าที่แบกรับภาระทั้งหมดได้ดี กีตาร์ค่อยข้างเคลียร์ ซาวดน์อาจจะแปลก เพราะกลองนั้นยังเป็นซาวนด์โทนเก่าๆ แต่การจูนซาวดน์กีตาร์นั้นออกไปยุคใหม่มากกว่า ทำให้ฟังดูไม่เข้ากันมากนัก แต่อัลบั้มนี้ฟังได้เพลินๆ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด กับ 1917 อัลบั้ม Vision ครับ
ฟังอัลบั้มเต็มได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=BPfHCiuMaK8
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
Tribute to ดอนผีบิน
"ดอนผีบิน" เป็นคำที่ไม่คุ้นหูสำหรับคนที่ได้ยิน แต่สำหรับผมแล้ว ดอนผีบิน คือวงดนตรีวงหนึ่ง ที่ผมยกให้เป็นศิลปินที่ผมชื่นชอบที่สุดตลอดกาล และคิดว่าคงจะหาใครมาล้มตำแหน่งนี้ไม่ได้แล้ว ทำไมต้องชื่อวงว่า ดอนผีบิน บอกก่อนคร่าวๆ ดอนผีบิน เป็นชื่อ มาจากชื่อหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน แต่ก่อนกาล บริเวณที่ราบสูงแห่ง นั้นเคยเป็นสมรภูมิรบล้างเผ่าพันธ์สมัยล้านนาหลายร้อยปีก่อน จากอดีตสู่ปัจจุบันดินแดนนี้ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานของชาวบ้าน ปากต่อปากว่าในคืนวันเพ็ญจะมีแสงวนเวียนลอยร่อง บริเวณนั้นบางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องครวญคราง เรื่องราวนี้ก็ระบือรือไกลว่าเป็น ดินแดนแห่ง "ดอนผีร่องลอย"
3 คนพี่น้องจากตระกูล "แก้วทิตย์" ได้แก่ สมบัติ แก้วทิตย์ พี่ชายคนโต สมศักดิ์ แก้วทิตย์ พี่ชายคนรอง และสมคิด แก้วทิตย์ คนสุดท้อง กับอิทธิพลทางดนตรีที่รับมาร่วมกันบวกกับกระแสดนตรี Thrash Metal ที่พัดรุนแรงในวงการเพลงร็อค การรวมตัวทำเพลงจนมีอัลบั้มแรกออกมาในปี 2535
ในอัลบั้มที่ชื่อว่า "โลกมืด" กับเปิดอัลบั้มและเป็นเพลงที่เป็นตำนานไปแล้วของวง นั่นก็คือ "ต่างคน" "กาลครั้งโน้น ชีวิตได้ลงมาจุติยังโลก แต่แล้วเมื่อมีเผ่าพันธุ์ กลับไม่สวย ดั่งที่หมาย เมื่อมีชีวิตเติบใหญ่ ต้องผจญอยู่ใน โลกมืด ดินแดนแห่งทุกดวงวิญญาน จำพานพบมากมายสรรพสิ่ง และพาก้าวสู่ ..." นิยามของอัลบั้มโลกมืด โดยผลงานโดยรวมยังมีความเป็น Heavy Metal อยู่พอสมควร 2 ปี ต่อมา อัลบั้ม "เส้นทางสายมรณะ" ก็ป้อนออกสู่วงการเพลงร็อคอีกครั้ง ก้าวอีก 1 ก้าวของวงดอนผีบิน กับนิยามของอัลบั้มนี้ "สายทางแห่งสังคมที่สมมุติกำหนดขึ้น หากวิญญาณใด ไม่แข็งแกร่ง ก็จะถูกทำลาย" "อัลบั้มชุดนี้ ได้รับรางวัล Reader Ellection จากนิตยสาร The Quiet Storm สาขา "The Most Wildness Album และ All Time Aggressive Album" อัลบั้มชุดนี้ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสีสันอวอร์ดส ปี 2537 4 สาขาด้วยกัน คือ
- ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม
- อัลบั้มยอดเยี่ยม
- โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยม
- เพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยม"
ในปีเดียวกัน อัลบั้มชุดที่ 3 ก็ถูกป้อนออกมา "อุบาทว์ - อุบัติ" ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนความละเอียดในทางดนตรีและเนื้อหารวมไปถึงอาร์ทเวิร์ค อีกทั้งการออกอัลบั้มออกมาเร็วเกินไป ทำให้อัลบั้มนี้ถูกพูดถึงน้อยลงไป แต่เพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มกลับเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ เพลงนึง ด้วยอินโทรที่สวยงาม สำเนียงกีตาร์อันหวานปนเศร้า มันกระแทกเข้ามาในจิตใจที่โหยหวนความรู้สึกในวัยเด็ก ก่อนที่กระโจนทะยานไปสู่ดนตรีเมทั่ลที่หนักหน่วง แฝงไว้ด้วยสำเนียงดอนผีบิน อีกหนึ่งผลงานที่ก้าวกระโดด กับการที่ได้มาอยู่กับสังกัดใหญ่ๆ อย่าง Waner Music อัลบั้มที่ 4 ของวง ที่มีชื่อว่า "สองฟากฝั่ง" ในปี 2540 มีความแตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านมา ภาพรวมของอัลบั้มนี้มีความล่องลอย เคว้งคว้าง หลอกหลอน ลึกซึ้ง มีกลิ่นอายของไซโคเดลิค อยู่พอสมควร
Return To The Nature II (Inst.) กับรางวัลเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม สีสันอวอร์ด ปี พ.ศ.2541 เป็นสิ่งที่การันตีความเป็นดอนผีบินได้อย่างดี
http://www.youtube.com/watch?v=Os9pH_c7EjA
มาถึงผลงานลำดับที่ 5 "สัญญาณเยือน" ความล่องลอยแบบโปรเกรสีพ คือนิยามในอัลบั้มนี้ ทำไมต้องโปรเกรสสีฟ ล่องลอย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5 อัลบั้ม บวกกับเนื้อหาที่ออกไปทางปรัชญาชีวิต นามธรรมชัดเจน ทำให้ผลงานยุคหลังๆ มีแนวโน้มไปทางนี้ซะเยอะ "ปรากฏการณ์ ปรากฏกาย" ผลงานอัลบั้มที่ 6 ซึ่งออกกับทาง Giraffe Record แต่ก็ไม่ได้มีความเป็นตลาดมากนัก ผลงานยังแยบยลตามสไตล์ดอนผีบินอย่างชัดเจน แต่อัลบั้มนี้หนักออกไปทางเพลงช้าๆ ซะเยอะ เนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ส่วนตัวผมเลยชอบปกอัลบั้มนี้มาก ดูแล้วเหมือนออกไปนอกโลก อยู่ในอวกาศที่เคว้งคว้าง หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ มันมีความหมายที่ดี
นอกจากอัลบั้มเต็ม ดอนผีบิน ยังมีอัลบั้มอื่นๆ รวเพลงและคอนเสิร์ตออกมาอีกด้วย ปัจจุบันหาเก็บค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่ จะเก็บของสะสมของสาวกไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดอนผีบินแตกต่างจากวงร็อค เมทั่ลวงอื่นๆ คือความเป็นธรรมชาติ การทำเพลงที่มาจากจิตใต้สำนึก ซึ่งส่งผลออกมาให้เห็นจากปกอัลบั้ม รวมไปถึง วิธีชีวิตของสมาชิกในวง จนกลายเป็นเอกลักษณ์และสเน่ห์ที่ทำให้แฟนๆ นั้นหลงไหล
ตลอดมา ตั้งแต่ฟังผลงานของดอนผีบิน ผมคิดว่าดอนผีบินคือศิลปินเบอร์หนึ่งของผม เพราะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าอายุอนามของวงและผลงานในยุคหลังๆ น้อยลงไป แต่สิ่งที่ดอนผีบินคงเหลือทิ้งไว้ และจะเป็นตำนานตลอดไป คือผลงานและแนวคิดต่างๆ ที่มีค่าต่อวงการเพลงร็อคอย่างมาก ศิลปิน ที่ สร้างผลงานเพลงในทางศิลปะจากจิตใจ ให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้เสพผลงาน มันเป็นอะไรที่มีค่ามาก จะจดจำชื่อของวงๆ นี้ตลอดไป "ดอนผีบิน"
- ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม
- อัลบั้มยอดเยี่ยม
- โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยม
- เพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยม"
ในปีเดียวกัน อัลบั้มชุดที่ 3 ก็ถูกป้อนออกมา "อุบาทว์ - อุบัติ" ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนความละเอียดในทางดนตรีและเนื้อหารวมไปถึงอาร์ทเวิร์ค อีกทั้งการออกอัลบั้มออกมาเร็วเกินไป ทำให้อัลบั้มนี้ถูกพูดถึงน้อยลงไป แต่เพลงที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มกลับเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ เพลงนึง ด้วยอินโทรที่สวยงาม สำเนียงกีตาร์อันหวานปนเศร้า มันกระแทกเข้ามาในจิตใจที่โหยหวนความรู้สึกในวัยเด็ก ก่อนที่กระโจนทะยานไปสู่ดนตรีเมทั่ลที่หนักหน่วง แฝงไว้ด้วยสำเนียงดอนผีบิน อีกหนึ่งผลงานที่ก้าวกระโดด กับการที่ได้มาอยู่กับสังกัดใหญ่ๆ อย่าง Waner Music อัลบั้มที่ 4 ของวง ที่มีชื่อว่า "สองฟากฝั่ง" ในปี 2540 มีความแตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านมา ภาพรวมของอัลบั้มนี้มีความล่องลอย เคว้งคว้าง หลอกหลอน ลึกซึ้ง มีกลิ่นอายของไซโคเดลิค อยู่พอสมควร
Return To The Nature II (Inst.) กับรางวัลเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม สีสันอวอร์ด ปี พ.ศ.2541 เป็นสิ่งที่การันตีความเป็นดอนผีบินได้อย่างดี
http://www.youtube.com/watch?v=Os9pH_c7EjA
มาถึงผลงานลำดับที่ 5 "สัญญาณเยือน" ความล่องลอยแบบโปรเกรสีพ คือนิยามในอัลบั้มนี้ ทำไมต้องโปรเกรสสีฟ ล่องลอย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา 5 อัลบั้ม บวกกับเนื้อหาที่ออกไปทางปรัชญาชีวิต นามธรรมชัดเจน ทำให้ผลงานยุคหลังๆ มีแนวโน้มไปทางนี้ซะเยอะ "ปรากฏการณ์ ปรากฏกาย" ผลงานอัลบั้มที่ 6 ซึ่งออกกับทาง Giraffe Record แต่ก็ไม่ได้มีความเป็นตลาดมากนัก ผลงานยังแยบยลตามสไตล์ดอนผีบินอย่างชัดเจน แต่อัลบั้มนี้หนักออกไปทางเพลงช้าๆ ซะเยอะ เนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ส่วนตัวผมเลยชอบปกอัลบั้มนี้มาก ดูแล้วเหมือนออกไปนอกโลก อยู่ในอวกาศที่เคว้งคว้าง หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ มันมีความหมายที่ดี
ตลอดมา ตั้งแต่ฟังผลงานของดอนผีบิน ผมคิดว่าดอนผีบินคือศิลปินเบอร์หนึ่งของผม เพราะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดอะไรหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าอายุอนามของวงและผลงานในยุคหลังๆ น้อยลงไป แต่สิ่งที่ดอนผีบินคงเหลือทิ้งไว้ และจะเป็นตำนานตลอดไป คือผลงานและแนวคิดต่างๆ ที่มีค่าต่อวงการเพลงร็อคอย่างมาก ศิลปิน ที่ สร้างผลงานเพลงในทางศิลปะจากจิตใจ ให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้เสพผลงาน มันเป็นอะไรที่มีค่ามาก จะจดจำชื่อของวงๆ นี้ตลอดไป "ดอนผีบิน"
Ebola Pole...review again
ให้พูดถึงวงร็อคค่อนไปทางเมทั่ล ที่ดนตรีหนักหน่วง และกำเนิดเกิดมาจากใต้ดินสู่กระแสสาธารณะชนในช่วงหนึ่ง มีไม่กี่วงที่ทำให้นึกถึง Ebola คือ หนึ่งในวงที่นึกขึ้นได้ วง Ebola ประกอบด้วยสมาชิก
- เอ๋ กิตติศักดิ์ บัวพันธุ์ (ร้องนำ)
- กอล์ฟ วรรณิต ปุณฑริกาภา (กีต้าร์)
- โอ๋ สุรพงษ์ บัวพันธุ์ (กีต้าร์)
- เอ เชาวลิต ประสงค์สิน (เบส)
- พัน พงษ์พันธุ์ โพธินิมิตร (กลอง)
ทำไมถึงบอกว่า อัลบั้มนี้เป็นลงตัวที่สุดของ Ebola ซึ่ง Pole เป็นอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 แต่ถ้านับผลงาน EP ด้วยแล้ว Pole จะเป็นงานชุดที่ 5 ซึ่งออกมาในปี 2547 ด้วยความเป็นเมทั่ล ร็อค ในอัลบั้มนี้ที่ยังไม่อิงกระแสตลาดและมีความหนักหน่วงในแบบสไตล์ของ Ebola แต่ความแตกต่างที่อัลบั้ม Pole โดดเด่นขึ้นมานั่นก็คือ ความลงตัวและความกลมกลืน ด้วยเหตุที่ว่า พัฒนาการทางดนตรี ประสบการณ์ การยอมรับ ทำให้การสร้างสรรค์อัลบั้มนี้เป็นไปอย่างเหมาะเจาะ อีกหนึ่งเหตุผลภายนอกนั่นก็คือ กระแสดนตรี ที่เป็นกระแสที่มาแรงมากในขณะนั้น มีวงไทยไม่กี่วงที่เล่นเพลงแนวนี้แต่เป็นที่พูดถึงอย่างมาก (แต่ไม่ถึงกับขนาดเป็นกระแสเมนสตรีม) เอาเป็นว่าใครที่ฟังดนตรีร็อคหนักๆ ในตอนนั้นเพียงๆ ต้องรู้จักวง Ebola
Pole ประกอบด้วย 13 เพลง ภายในอัลบั้มมี 1 VCD การแสดงสดที่เล่น ณ ศูนย์วัฒนธรรมฯ
ความเป็นไป คือเพลงแรกที่ Ebola กำลังนำเสนอสิ่งที่เรียกว่าลงตัว ดนตรีถูกขัดเกลาให้เนียนแต่ยังคงความดิบและสากของซาวนด์ได้เป็นอย่างดี เอ๋ นักร้องนำ กับน้ำเสียงอันทรงพลัง เพลงร็อคหนักๆ จังหวะกลางๆ ท่อนโยก ท่อนสครีม ไม่ผิดหวัง
เก็บกด อินโทรที่มาพร้อมกับริฟฟ์กีตาร์ดิบๆ สไตล์ Ebola ยุคเก่าๆ เพลงในสไตล์เก็บกดอย่างแท้จริง
จำ ร็อคช้าๆ กับเนื้อหาแนวปรัชญาชีวิต
Through my eyes, Make yourself, พอ (Rape), สันดาน, ดีกว่า, ในความเป็นคน คือสิ่งที่ Ebola นำสไตล์การทำเพลงยุคอัลบั้มเก่าๆ มาขัดเกลาให้ฟังลื่นหูขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นป็อบจ๋าหรือเบาลง แต่ทุกอย่างมันเคลียร์ขึ้น ดนตรี สไตร์การร้อง การเรียบเรียง สัดส่วนเพลงไม่วุ่นวาย
อีกหนึ่งเพลงที่ทำให้ Ebola ดังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดนั่นก็คือเพลง Get Out เพลงที่มีเนื้อดีๆ ที่ถูกใจวัยรุ่นที่ไม่ยอมอยู่กับที่ ซ้ำยังได้เป็นเพลงประกอบโฆษณาอีกด้วย
แม้ว่าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง กระแสดนตรี อายุอานามของวง ทำให้ Ebola ห่างหายไปจากวงการเพลง แต่อัลบั้ม Pole จะเป็นอัลบั้มที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยม สร้างวาระให้กับกระแสดนตรีร็อคอัลบั้มหนึ่งต่อวงการเพลงเมืองไทยเลยก็ว่าได้
Pole ประกอบด้วย 13 เพลง ภายในอัลบั้มมี 1 VCD การแสดงสดที่เล่น ณ ศูนย์วัฒนธรรมฯ
ความเป็นไป คือเพลงแรกที่ Ebola กำลังนำเสนอสิ่งที่เรียกว่าลงตัว ดนตรีถูกขัดเกลาให้เนียนแต่ยังคงความดิบและสากของซาวนด์ได้เป็นอย่างดี เอ๋ นักร้องนำ กับน้ำเสียงอันทรงพลัง เพลงร็อคหนักๆ จังหวะกลางๆ ท่อนโยก ท่อนสครีม ไม่ผิดหวัง
เก็บกด อินโทรที่มาพร้อมกับริฟฟ์กีตาร์ดิบๆ สไตล์ Ebola ยุคเก่าๆ เพลงในสไตล์เก็บกดอย่างแท้จริง
จำ ร็อคช้าๆ กับเนื้อหาแนวปรัชญาชีวิต
Through my eyes, Make yourself, พอ (Rape), สันดาน, ดีกว่า, ในความเป็นคน คือสิ่งที่ Ebola นำสไตล์การทำเพลงยุคอัลบั้มเก่าๆ มาขัดเกลาให้ฟังลื่นหูขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นป็อบจ๋าหรือเบาลง แต่ทุกอย่างมันเคลียร์ขึ้น ดนตรี สไตร์การร้อง การเรียบเรียง สัดส่วนเพลงไม่วุ่นวาย
อีกหนึ่งเพลงที่ทำให้ Ebola ดังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดนั่นก็คือเพลง Get Out เพลงที่มีเนื้อดีๆ ที่ถูกใจวัยรุ่นที่ไม่ยอมอยู่กับที่ ซ้ำยังได้เป็นเพลงประกอบโฆษณาอีกด้วย
แม้ว่าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง กระแสดนตรี อายุอานามของวง ทำให้ Ebola ห่างหายไปจากวงการเพลง แต่อัลบั้ม Pole จะเป็นอัลบั้มที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยม สร้างวาระให้กับกระแสดนตรีร็อคอัลบั้มหนึ่งต่อวงการเพลงเมืองไทยเลยก็ว่าได้
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
Music is Me...Me is Music
ฟังเพลงมาจนถึงทุกวันนี้ อยู่ๆ ก็เคยลองย้อนกลับมาถามตัวเองกันบ้างมั้ยว่า
เพลงแรกในความทรงจำคือเพลงอะไร?
เพลงแรกที่ชอบคือเพลงอะไร?
ศิลปินที่ชอบคือใคร?
มันก็ต้องมีบ้างแหล่ะ กว่าจะโตมาขนาดนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะย้อนความทรงจำของตัวเองไปถึงความรู้สึกในตอนนั้น มันก็น่าแปลกนะ ทำไมต้องตั้งคำถาม ทำไมต้องนึกถึง สำหรับผมแล้ว ดนตรีกับผมเป็นโลกส่วนตัวชนิดที่ว่าแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะเวลาฟังเพลงสิ่งที่ใช้มากกว่าหูฟังคือการใช้ความรู้สึกสัมผัสดนตรีเหล่านั้น ซึมซับมัน ข้อสังเกตุที่ค้นพบกับตัวเองได้นั่นก็คือ ถ้าชอบเพลงใดเพลงหนึ่งมากๆ จะฟังเพลงนั้น ไม่เคยเบื่อมันเลย
ตลอดเวลา 12 ปี กับการเริ่มต้นจริงจังฟังเพลงมาเรื่อยๆ อัลบั้มแรกที่ฟัง ศิลปินแรกที่ฟัง ยังจำได้ดี Killswitch Engage อัลบั้ม Alive or Just Breathing
จากการที่ได้แผ่น mp3 เพลงร็อค ที่รวมอัลบั้ม ในตอนนั้น ในแผ่นรู้จักแค่เพียงวง Limp Bizkit แค่วงเดียว เหตุที่เพราะว่าทำไมถึงเป็นอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกล่ะ? ก็เพราะว่าในนแผ่นนั้น มันเรียงเอาอัลบั้มนี้ขึ้นก่อน ด้วยความที่อยากฟังทั้งแผ่น เผื่อจะเจออะไรที่ชอบบ้าง เพราะลำพัง Limp Bizkit วงเดียว มันไม่คุ้ม ในยุคที่ตัวเองยังมีโอกาสเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้น้อย เพลงส่วนใหญ่มาจากการซื้อ mp3 ฟัง การเลือกที่จะฟังเยอะๆ เท่าที่หาฟังได้ คือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด "Killswitch Engage คือวงแนวเหี้ยอะไร?" คำถามที่สบถขึ้นในใจ ณ เวลานั้น มันเป็นท่วงทำนองที่หนักหน่วง งดงาม หม่นหมอง จนในที่สุดก็เปิดฟังจนหมดทั้งอัลบั้ม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จดจำว่านี่คืออัลบั้มแรกที่เปิดฟังแล้วหลงไหล สิ่งที่ตามมาก็คือ อยากฟังเพลงของวงนี้อีก อยากรู้ว่ามีวงที่เล่นแนวนี้อีกมั้ย ในที่สุดก็มีสิ่งๆ หนึ่งเหมือนเป็นชะตากรรมที่สร้างขึ้นมาร่วมกัน หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้รู้จักกับนิตยสารเล่มนึง นั่นก็คือ Music Express จำได้ดีว่าเล่มนี้ซื้อที่คลังพลาซ่า ในร้าน B2S เหตุผลสองประการที่ตัดสินใจซื้อก็เพราะ 1.มีเนื้อหาสัมภาษณ์วง Thaitanium และ 2. ราคา 30 บาท ผมแปลกใจเล็กๆ ว่า มีด้วยเหรอวะ นิตยสารราคาเล่มละ 30 บาท

ขนาดเล่มๆ พอดีๆ ไม่หนาไม่บาง
นี่คือจุดเริ่มต้นคร่าวๆ หลังจากนั้นก็ติดตามข่าวสารวงการเพลงเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการที่ชอบฟังเพลงร็อคเป็นพื้นฐาน และการที่ได้อ่านนิตยสารเป็นตัวช่วยอย่างดีในการอัพเดทข้อมูล นอกจากเพลงร็อคที่ชื่นชอบ ความเจ๋งของนิตยสาร Music Express อย่างหนึ่งคือการทำเสนอเนื้อหาของทุกแนวดนตรี มันเกิดการกระตุ้นทำให้เราอยากฟังแนวดนตรีใหม่ๆ ศิลปินใหม่ๆ สำหรับผมแล้วยุคเริ่มต้นความทรงจำของการฟังเพลงมันเกิดจากตรงนี้ และทุกวันนี้การหวนกลับไปหาเพลงในอัลบั้มเก่าๆ ฟัง มันเป็นสเนห์ของชีวิตไปแล้ว มันเป็นการบอกถึงช่วงเวลาของชีวิตว่า เห้ย ตอนนั้นฟังเพลงชุดนี้นี่หว่า ย้อนกลับไปได้อีกว่า เห้ยแล้วตอนนั้นทำอะไรอยู่ แน่นอนว่า ในแต่ละช่วงของชีวิต มักจะมีเพลงหรืออัลบั้มโปรดอยู่ในดวงใจ คิดว่าเป็น favorite ที่ฟังได้ตลอดชีวิตแน่นอน
เพลงแรกในความทรงจำคือเพลงอะไร?
เพลงแรกที่ชอบคือเพลงอะไร?
ศิลปินที่ชอบคือใคร?
มันก็ต้องมีบ้างแหล่ะ กว่าจะโตมาขนาดนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะย้อนความทรงจำของตัวเองไปถึงความรู้สึกในตอนนั้น มันก็น่าแปลกนะ ทำไมต้องตั้งคำถาม ทำไมต้องนึกถึง สำหรับผมแล้ว ดนตรีกับผมเป็นโลกส่วนตัวชนิดที่ว่าแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะเวลาฟังเพลงสิ่งที่ใช้มากกว่าหูฟังคือการใช้ความรู้สึกสัมผัสดนตรีเหล่านั้น ซึมซับมัน ข้อสังเกตุที่ค้นพบกับตัวเองได้นั่นก็คือ ถ้าชอบเพลงใดเพลงหนึ่งมากๆ จะฟังเพลงนั้น ไม่เคยเบื่อมันเลย
ตลอดเวลา 12 ปี กับการเริ่มต้นจริงจังฟังเพลงมาเรื่อยๆ อัลบั้มแรกที่ฟัง ศิลปินแรกที่ฟัง ยังจำได้ดี Killswitch Engage อัลบั้ม Alive or Just Breathing
จากการที่ได้แผ่น mp3 เพลงร็อค ที่รวมอัลบั้ม ในตอนนั้น ในแผ่นรู้จักแค่เพียงวง Limp Bizkit แค่วงเดียว เหตุที่เพราะว่าทำไมถึงเป็นอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกล่ะ? ก็เพราะว่าในนแผ่นนั้น มันเรียงเอาอัลบั้มนี้ขึ้นก่อน ด้วยความที่อยากฟังทั้งแผ่น เผื่อจะเจออะไรที่ชอบบ้าง เพราะลำพัง Limp Bizkit วงเดียว มันไม่คุ้ม ในยุคที่ตัวเองยังมีโอกาสเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้น้อย เพลงส่วนใหญ่มาจากการซื้อ mp3 ฟัง การเลือกที่จะฟังเยอะๆ เท่าที่หาฟังได้ คือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด "Killswitch Engage คือวงแนวเหี้ยอะไร?" คำถามที่สบถขึ้นในใจ ณ เวลานั้น มันเป็นท่วงทำนองที่หนักหน่วง งดงาม หม่นหมอง จนในที่สุดก็เปิดฟังจนหมดทั้งอัลบั้ม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จดจำว่านี่คืออัลบั้มแรกที่เปิดฟังแล้วหลงไหล สิ่งที่ตามมาก็คือ อยากฟังเพลงของวงนี้อีก อยากรู้ว่ามีวงที่เล่นแนวนี้อีกมั้ย ในที่สุดก็มีสิ่งๆ หนึ่งเหมือนเป็นชะตากรรมที่สร้างขึ้นมาร่วมกัน หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้รู้จักกับนิตยสารเล่มนึง นั่นก็คือ Music Express จำได้ดีว่าเล่มนี้ซื้อที่คลังพลาซ่า ในร้าน B2S เหตุผลสองประการที่ตัดสินใจซื้อก็เพราะ 1.มีเนื้อหาสัมภาษณ์วง Thaitanium และ 2. ราคา 30 บาท ผมแปลกใจเล็กๆ ว่า มีด้วยเหรอวะ นิตยสารราคาเล่มละ 30 บาท

ขนาดเล่มๆ พอดีๆ ไม่หนาไม่บาง
นี่คือจุดเริ่มต้นคร่าวๆ หลังจากนั้นก็ติดตามข่าวสารวงการเพลงเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการที่ชอบฟังเพลงร็อคเป็นพื้นฐาน และการที่ได้อ่านนิตยสารเป็นตัวช่วยอย่างดีในการอัพเดทข้อมูล นอกจากเพลงร็อคที่ชื่นชอบ ความเจ๋งของนิตยสาร Music Express อย่างหนึ่งคือการทำเสนอเนื้อหาของทุกแนวดนตรี มันเกิดการกระตุ้นทำให้เราอยากฟังแนวดนตรีใหม่ๆ ศิลปินใหม่ๆ สำหรับผมแล้วยุคเริ่มต้นความทรงจำของการฟังเพลงมันเกิดจากตรงนี้ และทุกวันนี้การหวนกลับไปหาเพลงในอัลบั้มเก่าๆ ฟัง มันเป็นสเนห์ของชีวิตไปแล้ว มันเป็นการบอกถึงช่วงเวลาของชีวิตว่า เห้ย ตอนนั้นฟังเพลงชุดนี้นี่หว่า ย้อนกลับไปได้อีกว่า เห้ยแล้วตอนนั้นทำอะไรอยู่ แน่นอนว่า ในแต่ละช่วงของชีวิต มักจะมีเพลงหรืออัลบั้มโปรดอยู่ในดวงใจ คิดว่าเป็น favorite ที่ฟังได้ตลอดชีวิตแน่นอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)